วันจันทร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2555

roots and affixes

 roots and affixes

AFFIX มี 2 ชนิดด้วยกัน ประกอบด้วย PREFIX และ SUFFIX PREFIX เป็นส่วนที่ใช้เติมไว้ด้านหน้าของ ROOTSUFFIX เป็นส่วนที่ใช้เติมไว้ด้านหลังของ ROOTเมื่อเติม AFFIX เข้าไป ความหมายและหน้าที่ทางไวยากรณ์ของคำจะเปลี่ยนไปด้วย เช่นPORT เป็นรากศัพท์ เมื่อเติม SUFFIX กลายเป็น PORTABLE (-ABLE คือ SUFFIX)
  การใช้ PREFIX-SUFFIX
Prefix
Prefix แปลว่า “อุปสรรค”หมายถึงคำที่ใช้เติมเข้าข้างหน้าคำอื่นแล้วทำให้คำคำนั้นมีความ หมายผิดไปจากเดิม เราเรียนคำเช่นนี้ว่า “Prefix” = อุปสรรค ในภาษาอังกฤษอุปสรรคที่ใช้กันมาก และมักพบเห็นบ่อย ๆ มีอยู่ 10 ตัว คือ
1. –Un (ไม่) ใช้สำหรับเติมหน้าคำคุณศัพท์ (Adjective) หรือ คำกริยาวิเศษณ์ (Adverb) เมื่อเติมแล้วทำให้คำนั้นมีความหมายตรงกันข้าม
เช่น suitable เหมาะสม unsuitable ไม่เหมาะสม countable นับได้uncountable นับไม่ได้

2. –Im (ไม่) ใช้สำหรับเติมหน้าคำคุณศัพท์ (Adjective) หรือ คำกริยาวิเศษณ์ (Adverb) เมื่อเติมแล้ว ทำให้คำนั้นมีความหมายตรงกันข้าม
เช่น pure บริสุทธิ์ impure ไม่บริสุทธิ์ polite สุภาพ impolite ไม่สุภาพ

3. –In (ไม่) ใช้สำหรับเติมหน้าคำคุณศัพท์ (Adjective) เท่านั้น เมื่อเติมแล้วทำให้คำนั้นมีความหมาย
เช่น direct ตรง indirect ไม่ตรงexpensive แพง inexpensive ไม่แพง

4. –Re (อีก) ใช้สำหรับเติมหน้าคำกริยา (verb) หรือคำนามที่มาจากกริยาเท่านั้น  เมื่อเติมแล้วทำให้คำนั้นมีความหมายว่า “ทำอีก”
เช่น write เขียน rewrite เขียนใหม่ speak พูด respeak พูดอีก

5. –Dis (ไม่) ใช้สำหรับเติมหน้ากริยา (verb) หรือเติมหน้าคุณศัพท์ (Adjective) และเมื่อเติมแล้ว ทำให้คำนั้นมีความหมายตรงกันข้าม
like ชอบ dislike ไม่ชอบ agree เห็นด้วย disagree ไม่เห็นด้วย

6. –Mis (ผิด) ใช้สำหรับนำหน้าหรือเติมหน้าคำกริยา (verb) เท่านั้น เมื่อเติมแล้วทำให้กริยาตัวนั้น มีความหมายว่า “กระทำผิด”
เช่น write เขียน miswrite เขียนผิด  spell สะกดตัว misspell สะกดตัวผิด

7. –Pre (ก่อน) ใช้สำหรับเติมหน้าคำนาม (Noun) หรือกริยา (verb) เมื่อเติมแล้วทำให้นามนั้นมีความหมายว่า “ก่อน , หรือทำก่อน”
เช่น history ประวัติศาสตร์ prehistory ก่อนประวัติศาสตร์  university มหาวิทยาลัย preuniversity ก่อนมหาวิทยาลัย

8. –Tri (สาม) ใช้สำหรับเติมหน้าคำนาม และเมื่อเติม tri เข้าข้างหน้าแล้ว ทำให้คำนั้นมีความหมายว่า “สาม” ขึ้นมาทันที
เช่น คำเดิม คำแปล เติมอุปสรรค tri แล้ว คำแปล angle เหลี่ยม triangle  รูปสามเหลี่ยมcycle จักรยาน tricycle รถสามล้อ

9. –Bi (สอง) ใช้สำหรับเติมหน้าคำนาม และเมื่อเติม bi เข้าข้างหน้าแล้วทำให้คำนั้นมีความหมาย“สอง”ขึ้นมาทันที
เช่น cycle จักรยาน bicycle จักรยานสองล้อ polar ขั้วโลก bipolar มีสองขั้วโลก

10. –En อุปสรรคตัวนี้ไม่มีคำแปลเป็นเอกเทศ เพียงแต่ว่าเมื่อนำไปเติมข้างหน้าคำนาม หรือคำคุณศัพท์แล้วทำให้คำนั้นกลับเป็นกริยา (verb) ขึ้นมาทันที
เช่น camp ค่ายพัก encamp ตั้งค่าย sure แน่ใจ ensure รับประกัน


Suffix 
        Suffix  (ปัจจัย) คือคำที่เติมท้ายคำอื่น แล้วให้คำนั้นเปลี่ยนชนิดของคำไป (เช่น อาจเปลี่ยนจากคำนามเป็นคำคุณศัพท์ เป็นต้น) แต่ความหมายของคำนั้นยังเหมือนเดิม เช่น employ (ว่าจ้าง) เป็น verb (คำกริยา) หากเราเติม Suffix "-er" เป็น employer (นายจ้าง ความหมายยังคล้ายของเดิม แต่ขอให้สังเกตว่าจะเปลี่ยนหน้าที่เป็น noun (คำนาม) เพื่อความสะดวกในการจำ เลยได้รวบรวมเป็นกลุ่มๆไว้ดังนี้

1. Noun Suffix  คือ คำนามที่ถูกสร้างขึ้นมา ซึ่งแบ่งเป็น 2 พวกใหญ่ๆ คือ
      - คำนามที่แสดงตัวผู้กระทำ (denoting an agent) ซึ่งถูกสร้างมาจาก Suffix ดังต่อไปนี้
-ant / -ent / - ar / -er / -ard /-eer / -ess / - ier / -yer / -ian / -ist / -or / -ster / -monger  ใช้เติมหลังคำกริยาหรือคำนาม , adj เพื่อให้เป็น นามผู้กระทำการเท่านั้น
      - คำนามที่แสดงตัวผู้รับการกระทำ (denoting the receiver of an action) -ee / -ite / -ive

2.Verb Suffix คือ คำกริยาที่สร้างมาจาก Suffix อันได้แก่ -ate / -en / -fy / -ise / -ize

3. Adjective Suffix  คือ คำคุณศพท์ที่เกิดจากการเติม Suffix ต่อไปนี้โดยจะแยกเป็นกลุ่ม ๆ คือ
       3.1  -able / -ble / -ile = สามารถ
       3.2  -ac / -al / -an / -ary / -ic / -ical = เกี่ยวกับ
       3.3  -acious / -ant / -ent / -ative = มีแนวโน้มที่จะ
       3.4  -ful / -os / -ous / -olent = เต็มไปด้วย

4.Suffix กลุ่มอื่นๆที่น่าสนใจ
       4.1 "เหมือน ราวกับ"  -ile / -ish / -like / -y
       4.2 "บอกถึงสถานที่"   -ary / -ery / -ory / -orium / -arium
       4.3  "เล็กน้อย น้อย"  -cule / -cle / -ette / -let / -less / -ling  
 

Root  or Stem

รากศัพท์ (Root or Stem) เป็นส่วนที่แสดงถึงความหมายพื้นฐานหรือความหมายหลัก (Basic Meaning) ของคำ เมื่อเติม Prefix หรือ Suffix เข้าไปแล้วก็จะเป็นคำขึ้นมา โดยที่ความหมายของรากศัพท์ยังคงเดิมไม่เปลี่ยนความหมายไป  รากศัพท์  (roots)  เป็นส่วนที่เป็นฐานของคำและเป็นตัวหลักเพื่อสร้างคำอื่น ๆ  เพิ่มขึ้น  และรากศัพท์เป็นส่วนที่ไม่สามารถแยกออกจากกันได้อีก  รากศัพท์อาจเกี่ยวข้องกับจำนวนเลข (Numbers)  การวัด (Measurement)  การเคลื่อนไหว (Motion)  การกระทำ (Action)  ความรู้สึก (Senses)  คุณภาพ (Quality)  กฎหมาย (Law)  และสังคม (Social)  ดังตัวอย่างต่อไปนี้
รากศัพท์ที่เกี่ยวกับจำนวนเลข  (Numbers)  เช่น
รากศัพท์                      ความหมาย
semi                             one half
mono                           one
bi                                 two
cent                              hundred
รากศัพท์ที่เกี่ยวกับการวัด (Measurement)  เช่น
รากศัพท์                      ความหมาย
graph / graphy             a device to write or record      
meter                           a device to measure
รากศัพท์ที่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหว (Motion)  เช่น
รากศัพท์                      ความหมาย
vent                             to come
รากศัพท์ที่เกี่ยวกับการกระทำ (Action)  เช่น
รากศัพท์                      ความหมาย
stat / stit / sist               to stand up
รากศัพท์ที่เกี่ยวกับความรู้สึก (Senses)  เช่น
รากศัพท์                      ความหมาย
voc /  vok                    voice;  to call
รากศัพท์ที่เกี่ยวกับคุณภาพ (Quality)  เช่น
รากศัพท์                      ความหมาย
clar                              bright
dur                               hard; strong
รากศัพท์ที่เกี่ยวกับกฎหมาย (Law)  และสังคม (Social)  เช่น
รากศัพท์                      ความหมาย
ver                               true; to prove
civ / cit                         city; government
cert                              to be sure or certain; approve


ตัวอย่างเช่น 

1. contort   = con (ร่วมกัน, ด้วยกัน) เป็น prefix + tort (บิด) เป็นรากศัพท์
ดังนั้นความหมายของ contort   คือ ทำให้คด, งอ, บิด
2. torsion = tors (บิด) เป็นรากศัพท์ + ion (การ,ความ) เป็น suffix
ดังนั้นความหมายของ torsion จึงมีความหมายว่า "การบิด"
3. irremovable = ir (ไม่) เป็น prefix + remove (เคลื่อนย้าย) เป็นรากศัพท์
+ able (สามารถ) เป็น suffix
ดังนั้นความหมายของคำ irremovable จึงมีความหมายว่า "เคลื่อนย้ายไม่ได้"
4. circumlocution = circum (รอบๆ)เป็น  prefix + locu (พูด) เป็นรากศัพท์ + tion
(การ , ความ) เป็น suffix
ดังนั้นความหมายของ circumlocution จึงมีความหมายว่า "การพูดจาแบบอ้อค้อม"
5. triarchy = tri (สาม)เป็น prefix + archy (การปกครอง) เป็นรากศัพท์
ดังนั้น triarchy จึงมีความหมายว่า "การปกครองโดยคน 3 คน "
 
ที่มา: http://worldsen.dyndns.org:8000/ple/webboard/index.php?topic=25.0
        http://www.learners.in.th/blogs/posts/241747
 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น